1. ทุกอย่างจะมุ่งเข้าสู่โซเชี่ยลเน็ตเวิรก์ (Everything goto Social Network)
คนไทยใช้ Facebook มากกว่า 13 ล้านคนหรือคิดเป็นมากกว่า 20%
ของประชากรทั้งประเทศ และมากกว่าครึ่งเปิด Facebook ทุกวัน
หรือคนไทยดูมิวสิควีดีโอเพลง “กรุณาฟังให้จบ” ของ แช่ม แช่มรัมย์ เกือบ 23
ล้านครั้ง สูงที่สุดในประเทศไทยของวีดีโอใน Youtube
ทำให้เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมคนไทยกำลังมุ่งเข้าสู่โซเชี่ยลเน็ตเวิรก์อย่าง
เห็นได้ชัด และโซเชี่ยลเน็ตเวิรก์จะเริ่มกลายมาเป็น
“โครงสร้างพื้นฐานในการสื่อสาร (Infrastructure)” ของคนไทย เหมือนกับ
โทรศัพท์, ทีวี หรือหนังสือพิมพ์ คนไทยจะเริ่มใช้ช่องทางนี้เพิ่มมากขึ้น
เรื่อยๆ และเริ่มมีการต่อยอดของโซเชี่ยลเน็ตเวิรก์ไปยัง
กลยุทธ์ทางธุรกิจรูปแบบต่างๆ เช่น การตลาดผ่านโซเชี่ยลเน็ตเวิรก์ (Social
Network Marketing), การค้าขายผ่านทางโซเชี่ยลเน็ตเวิรก์ (Socail Network
Commerce), การประชาสัมพันธ์ผ่านทางโซเชี่ยลเน็ตเวิรก์ (Social Network PR)
หรือแม้แต่การรักษาความสัมพันธ์ลูกค้าผ่านทางโซเชี่ยลเน็ตเวิรก์ (Socail
Network CRM) เป็นต้น
2. การปรับแต่งโซเชี่ยลมีเดียจะเป็นสิ่งจำเป็น (SMO – Social Media Optimization)
เมื่อโซเชี่ยลเน็ตเวิรก์กลายเป็นช่องทางหลายองค์เริ่มเข้ามาใช้กันมากขึ้นใน
การสื่อสารกับลูกค้าและกลุ่มเป้าหมาย
การปรับแต่งโซเชี่ยลเน็ตเวิรก์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดจึงเป็นสิ่งจำเป็น
เช่นการวางแผนให้เกิดการแชร์และกระจายข้อมูลออกไปมากที่สุด,
การติดตั้งเครื่องมือต่างที่ทำให้ผู้ใช้ร่วมส่วนร่วมมากขึ้น เช่น ปุ่มแชร์,
ปุ่มชอบ (Likes), ปุ่มส่งต่อ (Retweet), สร้างลิงค์กลับมาเราให้มากที่สุด
ทั้งหมดนี้เพื่อทำให้โซเชี่ยลเน็ตเวิรก์ของเราสามารถเข้าถึงคนและกระจาย
ข้อมูลออกไปให้ได้วงกว้างมากที่สุด และเกิดประสิทธิภาพที่สุด
3. ผู้มีอิทธิพลออนไลน์จะมีบทบาทในการสร้างกระแส (Online Influencer)
เมื่อคนสื่อสารกันในโลกออนไลน์ของโซเชี่ยลเน็ตเวิรก์มากขึ้น
คนที่มีคนติดตามมากๆ เช่น Facebook ที่มีคนชอบ (like) เยอะๆ หรือ Twitter
ที่มีคนตาม (Follower) เยอะๆ
หรือคนที่มีอิทธิพลทางความคิดกับคนอื่นในช่องทางออนไลน์
ก็จะเริ่มเข้ามาบทบาทในการสร้างกระแส หรือการทำให้คนอื่นๆ
เชื่อและเกิดความคล้อยตามได้ไม่ยาก
เพราะการพูดและสื่อสารออกมาของคนที่มีอิทธิพล (Influencer) เหล่านี้
ก็จะไปสร้างและโน้มน้าวให้คนอื่นๆ
ที่ติดตามเค้าอยู่นั้นเกิดความคล้อยตามในทิศทางเดียวกัน เช่น
4. ตำแหน่ง (Location) จะเข้ามาบทบาทในการทำการตลาดมากขึ้น
เมื่ออุปกรณ์หลายอย่างสามารถระบุตำแหน่งของผู้ใช้ได้ เช่น
มือถือ,แท็ปเล็ต, กล้องถ่ายรูป หรือ รถยนต์
และแอ็พพิลเคชั่นที่สามารถนำตำแหน่งของคนมาใช้ประยุกต์กับการตลาดได้ไม่อยาก
เช่น Foursquare, Google Map, Facebook Place ทำให้ “ตำแหน่งของลูกค้า”
เริ่มเข้ามามีบทบาท และจะทำให้การสื่อสารไปหาลูกค้า
มีความแม่นยำและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น
ร้านโดนัทที่สยามสแควร์สามารถรู้ได้ทันทีว่า
ใครคือลูกค้าที่เข้าซื้อสินค้าของร้านค้าเค้าบ่อยๆ
จากประมาณการเช็กอินของลูกค้าผ่านโปรแกรมต่างๆ ทางมือถือ
5. เมื่อโลกออนไลน์เชื่อมโยงกับโลกออฟไลน์ (O2O Marketing)
การตลาดบนโลกออนไลน์
จะเริ่มเข้าไปมีบทบาทเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจหน้าร้านค้าปกติ (ออฟไลน์)
ได้อย่างมาก อย่างเช่น
หลายคนหาข้อมูล-ส่วนลดร้านอาหารจากทางออนไลน์ผ่านบริการของ
ดีลพิเศษแต่ละวัน (Daily Deal) เพื่อนำไปทานอาหารกับเพื่อนๆ หรือ
ลูกค้าบางคนส่อง QR Code เพื่อรับข้อมูล
ณ.จุดขายเพื่อสามารถดูข้อมูลสินค้าและรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นได้
ดังนั้นการเชื่อมโยงข้อมูลจากโลกออนไลน์ไปกระตุ้นหรือทำให้คนตัดสินใจซื้อ
สินค้าในโลกออฟไลน์กำลังจะเริ่มเติบโตมากขึ้น
ซึ่งบางธุรกิจสามารถเพิ่มยอดขายและจำนวนลูกค้าได้มหาศาลจากการตลาดลักษณะนี้
6. หลากอุปกรณ์ทีเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและแอ็พพิเคชั่น (Device & Application)
ปีนี้จะเป็นอุปกรณ์ต่างๆ
รอบตัวเราจะสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น
ทำให้มันมีความสามารถเพิ่มมากขึ้นจากเพิ่มอย่างมาก เช่น มือถือ, ทีวี,
รถยนต์, วิทยุ รวมถึงการให้บริการ 3G ถูกเปิดให้บริการเพิ่มมากขึ้น
และจำนวนคนไทยใช้แอ็พพิลเคชั่นก็เพิ่มมากขึ้น รูปแบบต่างๆ
เหล่านี้เริ่มมาบทบาทเป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าได้มากขึ้น
ดังนั้นทำให้นักการตลาดสามารถเพิ่มช่องทางใหม่ๆ
ในการสื่อสารกับลูกค้านอกเหนือจากทางหน้าคอมพิวเตอร์
เช่นนักการตลาดเริ่มติดต่อลูกค้าผ่านช่องทางแอ็พพิลเคชั่นใหม่ๆ อย่าง
WhatsApp, Line หรือ Instagram เป็นต้น
หรือบางคนก็อาจะสร้างแอ็พของตัวเองขึ้นมาในการติดต่อกับลูกค้าโดยตรงได้
ทันที
7. เมื่อเทคโนโลยีฉลาดและอัตโนมัติมากขึ้น (Semantic Technology)
เรากำลังอยู่ในยุคของข้อมูลอย่างแท้จริง โดยรอบๆ
ตัวเราที่เคลื่อนที่ไปจะมีข้อมูลเกิดขึ้นตลอดเวลาเช่น
ข้อมูลตำแหน่งพิกัดตัวคุณ, ข้อมูลสภาพอากาศ, การจราจร หรือธุรกิจต่างๆ
ที่อยู่รอบๆ ตัวคุณ ณ.ขณะนั้น (Context Information)
ซึ่งข้อมูลแต่ละอย่างจะสามารถนำมาเชื่อมโยงและสร้างให้เกิดข้อมูลรูปแบบใหม่
ที่เหมาสมกับตัวคุณโดยอัตโนมัติและทันที (Real Time)
ดังนั้นนักการตลาดเริ่มจะเห็นความสำคัญของข้อมูลต่างๆ เหล่านี้
นำมาประกอบกันเพื่อสร้างกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองกับคนๆ
นั้นๆ ในพื้นที่ๆ นั้น ได้อย่างแม่นยำเลยทีเดียว
8. รู้ลึกถึงกลุ่มเป้าหมายด้วยการวิเคราะห์จากพฤติกรรมทางออนไลน์ (Behavioral Marketing & Analytic)
เราสามารถเข้าใจและเจาะลึกลงไปถึงพฤติกรรมของลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายเราได้
ง่ายมากขึ้น เพราะด้วยข้อมูลมากมายมหาศาลที่อยู่ในโลกออนไลน์
ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพฤติกรรมการใช้เว็บไซต์ (Web Log) หรือ
ข้อมูลการใช้งานโซเชี่ยลเน็ตเวิรก์
หรือแม้แต่การพูดคุยสื่อสารผ่านทางออนไลน์ต่างๆ สามารถรวบรวมนำมาวิเคราะห์
เพื่อทำให้เราเข้าใจถึงพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าเรามากขึ้น
โดยมีเครื่องมือต่างๆ ออกมาช่วย เช่น Google Analytics, Truehits.net,
ZocialRank.com
ซึ่งปีนี้จะเป็นปีที่นักการตลาดให้ความสำคัญกับข้อมูลเหล่านี้มากขึ้น
เพื่อทำให้เราสามารถเข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
9. การค้าบนโลกออนไลน์จะขยายตัวอย่างรวดเร็ว (E-Commerce Expansion)
ถึงแม้ว่าการค้าบนโลกออนไลน์หรือ E-Commerce
จะเป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมนาน แต่มันจะได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2012
เพราะในปีที่ผ่านมาเริ่มมีบริษัทให้แห่งเริ่มให้ความสนใจในการขยายช่องทาง
การขายออกไปยังในโลกออนไลน์ อย่างเช่น DTAC เปิดร้านขายโทรศัพท์ออนไลน์
หรือ ห้างสรรพสินค้าต่างๆ
เริ่มกระโดดเข้าสู่สมรภูมิการซื้อของออนไลน์มากขึ้น
ประกอบกับระบบชำระเงินออนไลน์และระบบขนส่งสินค้าภายในประเทศพัฒนาไปอย่างรวด
เร็ว ทำให้การซื้อขายสินค้าทางออนไลน์เป็นสิ่งหนึ่งที่หลายๆ
แบรดน์และธุรกิจต่างให้ความสำคัญมากขึ้น
ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ทั่วประเทศและทั่วโลก
10. ทุกอย่างจะหล่อหลอมรวมเข้าด้วยกัน (Media Convergence)
เมื่อเทคโนโลยีและสื่อมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย
โดยทุกอย่างจะเริ่มถูกนำมาหล่อหลอมรวมกันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
การใช้วิธีไดวิธีหนึ่งอาจจะไม่เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควร
ดังนั้นเราจะเริ่มเห็นการสื่อสารเต็มรูปแบบ
โดยมีกลยุทธ์และเทคโนโลยีหลากรูปแบบภายใต้แคมเปญหรือกลยุทธหลักกลยุทธเดียว
เพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการทำการตลาดยุคใหม่
บางคนอาจจะเรียกวิธีนี้ว่า IMC (Integrated Marketing Communication)
เป็นการใช้สื่อดั่งเดิมเข้าผสมผสานกับสื่อออนไลน์รูปแบบใหม่
เพื่อสร้างกลยุทธรูปแบบใหม่ ที่จะเข้าถึงลุกค้าได้ในทุกๆ
สื่อและช่องทางที่ลูกค้าอยู่ เช่น กลยุทธการตลาดรูปแบบใหม่จะมีทั้ง
สื่อทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์ ออนไลน์ มือถือ แอ็พพิลเคชั่น โซเชี่ยลเน็ตเวิรก์
การใช้ตำแหน่งของลูกค้า ฯลฯ
ทั้งหมดเหล่านี้มาสร้างเป็นกลยุทธ์ในการทำการตลาดเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป
ที่มา http://e-mk.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น